แนวข้อสอบ การบริหารแผนงาน นโยบาย โครงการ
1. แผนงานและโครงการคืออะไร
ก. เป็นสัญญาเพื่อที่จะทํางานร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย คือ เจ้าหน้าที่ขององค์กรหรือสายงานที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารหรือบุคลากรปฏิบัติงาน
ข. กําหนดขึ้นภายนอกวัตถุประสงค์และขอบข่ายงานที่ได้กําหนดไว้
ค. เป็นสัญญาเพื่อที่จะทํางานร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย คือ เจ้าหน้าที่ขององค์กรหรือสายงานที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร
ง. สัญญาเพื่อที่จะทํางานร่วมกันที่แบ่งแยกออกแต่ละฝ่าย
ตอบ ค. เป็นสัญญาเพื่อที่จะทํางานร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย คือ เจ้าหน้าที่ขององค์กรหรือสายงานที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร
แผนงานและโครงการคือ
แผนงาน/โครงการ เป็นสัญญาเพื่อที่จะทํางานร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย คือ เจ้าหน้าที่ขององค์กร
หรือสายงานที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหาร ที่กําหนดขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์และขอบข่ายงานที่ได้กําหนดไว้
แผนงานและโครงการเป็นการเพิ่มศักยภาพการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยกิจกรรม
ต่าง ๆ ซึ่งต้องมีการหารือกันกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และในแต่ละกิจกรรม แต่ละขั้นตอนต้องกําหนดระยะเวลา
เริ่มต้นและระยะเวลาสิ้นสุด มีตัววัดความสําเร็จแต่ละกิจกรรมและขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง
2. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายจัดการในภาพโดยรวม
ก. การกําหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ กลยุทธ์/ยุทธศาสตร์ นโยบายที่เหมาะสม
ข. การวางแผนและโครงการให้สัมพันธ์กับเป้าประสงค์หลัก (Strategic Objective)
ค. กําหนดงานต่าง ๆ ที่ต้องทํา
ง. จัดให้มีการติดตาม และรายงานผลความสําเร็จที่ปฏิบัติจริงเทียบกับแผนงาน
ตอบ ค. กําหนดงานต่าง ๆ ที่ต้องทํา
หน้าที่ของฝ่ายจัดการในภาพโดยรวม
เพื่อบรรลุสู่วิสัยทัศน์ พันธกิจ กลยุทธ์ และการจัดทําแผนงาน/โครงการ ฝ่ายจัดการควรคํานึงถึง
1. การกําหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ กลยุทธ์/ยุทธศาสตร์ นโยบายที่เหมาะสม
2. การวางแผนและโครงการให้สัมพันธ์กับเป้าประสงค์หลัก (Strategic Objective)
3. รวบรวมความต้องการข้อมูลและสารสนเทศที่เหมาะสมและเกี่ยวข้องกับแผนงาน
4. กําหนดทรัพยากร สนับสนุนแผนงานเพื่อบรรลุพันธกิจของ องค์กร
5. กําหนดขอบเขตของงานให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้อง
6. จัดให้มีการปฏิบัติ ควบคุม และวัดผลความสําเร็จของแผนงานนั้น ๆ
7. จัดให้มีการติดตาม และรายงานผลความสําเร็จที่ปฏิบัติจริงเทียบกับแผนงาน
3. ข้อใดคือวัตถุประสงค์ของการวางแผนงาน และโครงการที่เกี่ยวข้องขององค์กรทั่วไป
ก. กําหนดเป้าประสงค์ของแผนงานและโครงการให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่วัดได้
ข. แปลงความต้องการให้ปรากฏในแผนงาน
ค. กําหนดทรัพยากรที่ต้องการใช้ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นสื่อให้หน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการได้รับทราบโดยทั่วกัน เพื่อการประสานงานที่เหมาะสม
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
วัตถุประสงค์ของการวางแผนงาน และโครงการที่เกี่ยวข้องขององค์กรทั่วไป
1. กําหนดเป้าประสงค์ของแผนงานและโครงการให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่วัดได้
2. เพื่อให้เห็นภาพของแผนงาน/โครงการได้อย่างเป็นรูปธรรม
3. แปลงความต้องการให้ปรากฏในแผนงาน
4. กําหนดงานต่าง ๆ ที่ต้องทํา
5. กําหนดวันเริ่มต้นและวันสุดท้ายของแต่ละงาน
6. กําหนดทรัพยากรที่ต้องการใช้ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นสื่อให้หน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการได้รับทราบโดยทั่วกัน เพื่อการประสานงานที่เหมาะสม
7. เป็นแนวทางและพื้นฐานในการประมาณการ ติดตาม และควบคุมโครงการ และรายงานเพื่อ
การเปรียบเทียบผลที่ไดอยางชัดเจน
4. ข้อใดคือแนวทางที่มีความสําคัญในการปรับตัวขององค์การ
ก. องค์กรจะต้องปรับตัวให้ทันกับการแข่งขัน
ข. องค์กรต้องปรับปรุงและพัฒนาด้านคุณภาพของการบริหารจัดการภายใน
ค. องค์กรต้องนําเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้งาน
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
5. สําหรับความหมายของการบริหารนั้นจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับอะไร
ก. หน่วยงานที่ผู้บริหารจัดการ
ข. ความเชื่อและความเข้าใจของผู้บริหารแต่ละคน
ค. บุคลากรในองค์กรที่บริหารจัดการ
ง. ผู้บริหารนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้งาน
ตอบ ข. ความเชื่อและความเข้าใจของผู้บริหารแต่ละคน
6. การบริหารในส่วนของผู้บริหารที่จะต้องปฏิบัติ ได้แก่อะไรบ้าง
ก. การวางแผนการจัดองค์การ
ข. การจัดคนเข้าทํางาน
ค. การสั่งการ และการควบคุม
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง. ถูกทุกข้อ
7. องค์การจําเป็นต้องนําแนวทางการบริหารโครงการมาใช้ในการดําเนินงาน ได้เกิดความนิยมขึ้น ตั้งแต่ช่วงปีใด
ก. 1960 ค. 1980
ข. 1970 ง. 1990
ตอบ ก. 1960
8. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทําให้มีการนําการบริหารโครงการมาใช้อย่างแพร่หลายในเรื่องการมุ่งเน้นคุณภาพและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
ก. มีการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ
ข. เกิดเทคโนโลยีระดับสูง
ค. ความต้องการของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์จากการผลิตแบบเก่าลดน้อยลง
ง. การนําเทคโนโลยีใช้กันอย่างกว้างขวางทําให้กระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ สั้นลง
ตอบ ค. ความต้องการของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์จากการผลิตแบบเก่าลดน้อยลง
9. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับความสําคัญของการบริหารโครงการ
ก. การบริหารโครงการทั่วไปที่เป็นการบริหารงานที่มีลักษณะของการดําเนินงานอย่างเป็นประจํา
ข. เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อถูกนําไปใช้ในการดําเนินกิจกรรมที่มีความสลับซับซ้อน
ค. องค์การเพียงส่วนเดียวที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรทางการบริหารที่มีอยู่อย่างจํากัด
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ค. เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อถูกนําไปใช้ในการดําเนินกิจกรรมที่มีความสลับซับซ้อน
10. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ก. การจัดการมักนิยมใช้ในด้านธุรกิจ
ข. บริหารมักนิยมใช้ในด้านธุรกิจ
ค. การบริหารและการจัดการมักนิยมใช้ในด้านราชการ
ง. การบริหารและจัดการมักนิยมใช้ในทางด้านธุรกิจ
ตอบ ก. การจัดการมักนิยมใช้ในด้านธุรกิจ
การจัดการ (Management) และการบริหาร (Administration) พบว่า การจัดการมักนิยมใช้ในด้านธุรกิจ โดยจะเป็นการจัดการตามนโยบายที่องค์การได้กําหนดไว้ ส่วนการบริหารมักนิยมใช้ในด้านการบริหารราชการที่มุ่งเน้นในเรื่องของการบริหาร หรือจัดการเกี่ยวกับนโยบายของหน่วยงานต่างๆ อย่างไรก็ดีคําว่าการจัดการกับการบริหารโดยทั่วไปใช้แทนกันได้ (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,2536, หน้า 59)
แนวข้อสอบ
นักวิเคราะห์นโยบายและแผน
1. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของนโยบาย
ก. แนวทางในการบรรลุผล
ข. ขั้นตอนหรือแผนงาน
ค.ทุนที่ใช้ในการดำเนินการ
ง. เป็นองค์ประกอบของนโยบายทุกข้อ
ตอบ ง. ทุนที่ใช้ในการดำเนินการ
องค์ประกอบของนโยบายสาธารณะมีดังนี้
1. ต้องมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ชัดเจน
2. ต้องประกอบด้วยลำดับขั้นตอนหรือแผนงานในการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ ที่ได้กำหนดเอาไว้
3. ต้องมีลักษณะเป็นแนวทางหรือหลักการที่ประสงค์จะเป็นเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้ สามารถบรรลุผลสำเร็จลงได้
4. ต้องมีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ ฯลฯ
2. ข้อใดถูกต้อง
ก. Scientific Reasons : การนำไปใช้ในการแก้ปัญหาทางปฏิบัติ
ข. Professional Reasons : การเข้าใจเหตุผลของการตัดสินใจ
ค. Political Reasons : การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสมให้บรรลุเป้าหมาย
ง. Policy Effects : ปัจจัยน้ำข้าวของนโยบาย เช่น ทรัพยากร
จ. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ค. Political Reasons: การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสมให้บรรลุเป้าหมาย
Thomas R.Dye กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะ หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทำ หรือไม่กระทำ” โดยเขาได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผลของการศึกษานโยบายไว้ ๓ ประการได้แก่
1. เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Reasons) คือ การทำความเข้าใจเหตุและผลของการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย
2. เหตุผลทางวิชาชีพ (Professional Reasons) คือ การนำความรู้เชิงนโยบายไปใช้ในการแก้ปัญหาทางด้านการปฏิบัติ
3. เหตุผลทางการเมือง (Political Reasons) คือ การดัดแปลงนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสมทางการเมืองมาใช้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเมือง
3. ความสมเหตุสมผลทางด้านปัทสถานเกี่ยวข้องกับการวางแผนในเรื่องใด
ก. การวางแผนที่เน้นเนื้อหา
ข. การวางแผนที่เน้นการตัดสินใจ
ค. การวางแผนที่เน้นการควบคุม
ง. การวางแผนที่เน้นการมีส่วนร่วม
จ. การวางแผนที่เน้นผลลัพธ์
ตอบ ข. การวางแผนที่เน้นการตัดสินใจ
ทฤษฎีการวางแผนที่เน้นเนื้อหาสาระหรือทฤษฎีเชิงสาระ เป็นทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับเนื้อหาสาระเฉพาะเรื่องที่จะนำมาวางแผนเป็นอย่างมากโดยมุ่งอธิบายรายละเอียดของปัญหาและการแก้ปัญหาที่เจาะลึกในแต่ละเรื่องโดยไม่สนใจเรื่องวิธีการเช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วนทฤษฎีการวางแผนที่เน้นการตัดสินใจแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. การตัดสินใจแบบสมเหตุสมผลด้านการทำหน้าที่ ได้พัฒนาไปเป็นทฤษฎีเชิงกรรมวิธีซึ่งมุ่งอธิบายกระบวนการและการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน และต่อมาได้พัฒนาไปเป็นทฤษฎีการวางแผนที่เน้นกานนำนโยบายไปปฏิบัติ
2. การตัดสินใจแบบสมเหตุสมผลด้านปัทสถานได้พัฒนาไปเป็นทฤษฎีการวางแผนทางสังคมและการวางแผนสนับสนุน
4. ข้อใดถูกต้อง
ก. นโยบายสาธารณะได้มากจากการเจรจาต่อรองเกี่ยวข้องกับทฤษฎีสถาบันนิยม
ข. แนวคิดเชิงเศรษฐศาสตร์การเมืองเกี่ยวข้องกับการวางแผนที่เน้นเนื้อหา
ค. ความสมเหตุสมผลทางด้านปัทสถานเกี่ยวข้องกับการวางแผนที่เน้นการตัดสินใจ
ง. ทฤษฎีเชิงกรรมวิธีต่อมาได้พัฒนาไปเป็นการวางแผนที่เน้นการนำนโยบายไปปฏิบัติ
จ. ข้อ ค. และ ข้อ ง. ถูก
ตอบ จ. ข้อ ค. และ ข้อ ง. ถูก
คำอธิบายดังข้อข้างต้น
5. ข้อใดไม่ถูกต้อง
ก. แผนงานเป็นตัวแปรที่ Cook & Scioll เสนอไว้ในตัวแบบของเขา
ข. การนำนโยบายไปปฏิบัติจะง่ายขึ้นในประเทศที่ปกครองแบบศูนย์รวมอำนาจ
ค. นโยบายทางด้านเศรษฐกิจเกี่ยวของกับการสร้างความมั่นคงให้กับประชาชน
ง. การจัดการศึกษานอกโรงเรียนเกี่ยวของกับนโยบายทางด้านการศึกษา
จ. นโยบายทางด้านเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกับการกินดีอยู่ดีของประชาชน
ตอบ ค. นโยบายทางด้านเศรษฐกิจเกี่ยวของกับการสร้างความมั่นคงให้กับประชาชน
นโยบายทางด้านเศรษฐกิจ (Econmomic Policy) เป็นเรื่องที่เกี่ยงข้องกับความอยู่ดี กินดีของประชาชน ให้ประชาชนได้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนอะไรที่ได้มาซึ่งรายได้ รายจ่าย ซึ่งเมื่อจ่ายไปแล้วมีการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ทำให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น การส่งเสริมอาชีพให้ประชาชน โครงการธนาคารประชาชน โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การจัดตั้งกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น
6. ข้อใดไม่ถูกต้อง
ก. การจัดลำดับความสำคัญของปัญหาอยู่ในขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย
ข. การจัดทำร่างนโยบายอยู่ในขั้นตอนการเตรียมและเสนอนโยบาย
ค. การกำหนดทางเลือกอยู่ในขั้นตอนการเตรียมและเสนอนโยบาย
ง. การตีความหรือแปลงนโยบายอยู่ในขั้นตอนการนำนโยบายไปปฏิบัติ
จ. ถูกทุกข้อ
ตอบ จ. ถูกทุกข้อ
ขั้นตอนการก่อตัวของนโยบาย (Policy Formation) ประกอบด้วย การพิจารณาปัญหานโยบาย (Policy Problem) หรือความต้องการของประชาชนที่จะนำมากำหนดเป็นนโยบาย การพิจารณาเวลาที่เกิดปัญหา ส่วนขั้นตอนการประเมินผลนโยบาย (Policy Evaluation)
ประกอบด้วย
1. การกำหนดวัตถุประสงค์ของการประเมิน
2. การกำหนดเกณฑ์วัด และวิธีการตรวจสอบสิ่งที่ต้องการประเมิน
3. การกำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูลและวิธีการรายงาน
4. การนำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
7. Pressman and Wildavsky ศึกษาเรื่องใด
ก. การปฏิรูปโรงเรียนรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข. การจ้างงานของชนกลุ่มน้อย
ค. การพัฒนาวิทยาลัยครูให้มาเป็นวิทยาลัยที่สมบูรณ์
ง. Catalytic Role Model
จ. โครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาล
ตอบ ข. การจ้างงานของชนกลุ่มน้อย
Pressman and Wildavsky ได้เสนอผลงานวิจัยเรื่อง “Implementation” โดยมุ่งศึกษานโยบายการจ้างงานของชนกลุ่มน้อย แห่งนครโอคแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งผลงานวิจัยฉบับนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาการนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างเป็นระบบและเป็นจุดกำเนิดของวิชาการนำนโยบายไปปฏิบัติอีกด้วย
8. ใครพบว่า การแสวงหาผลประโยชน์เป็นส่วนสำคัญในการกำหนดความสำเร็จหรือล้มเหลวของการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ก. ธงชัย สมครุฑ
ข. ปิยวดี ภูศรี
ค. อาคม ใจแก้ว
ง. สากล จริยวิทยานนท์
จ. เจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์
ตอบ จ. เจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์
เจษฎา อุรพีพัฒนพงศ์ ได้ศึกษาเรื่อง “การปฏิบัตินโยบายสำหรับชายแดนภาคใต้: ศึกษืเท่านั้น แล้วผลการศึกษาในเรื่องนี้ ผู้วิจัยก็พบว่าการแสวงหาผลประโยชน์ เป็นปัจจัยประการหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดความล้มเหลวหรือความสำเร็จของนโยบายไปปฏิบัติ
9. ความสามารถในการผลิตหรือให้บริการ โดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ก. ประสิทธิผล
ข. ประสิทธิภาพ
ค. ความเหมาะสม
ง. ความเป็นธรรม
จ. ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ ข. ประสิทธิภาพ
ประสิทธิภาพ หมายถึง ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของนโยบาย โดยใช้ต้นทุนต่ำสุด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความสามารถในการผลิตผลผลิตหรือให้บริการ โดยมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด
10. ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับนิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ถือว่าเป็นเกณฑ์ประเภทใด
ก. ประสิทธิผล
ข. ประสิทธิภาพ
ค. ความเหมาะสม
ง. ความเป็นธรรม
จ. ความสามารถในการตอบสนอง
ตอบ จ. ความสามารถในการตอบสนอง
ความสามารถในการตอบสนอง หมายถึง ความสามารถของทางเลือกที่สอดคล้องกับความต้องการ ความชอบและค่านิยมพื้นฐานของกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งทางเลือกที่มีความสามารถในการตอบสนองสูงก็คือ ทางเลือกที่ต้องการทำให้กลุ่มที่มีความจำเป็นสูงได้รับผลจากทางเลือกก่อนนั้นเอง
#คลิ๊กดูแนวข้อสอบราชการที่ www.โหลดแนวข้อสอบราชการ.com
#รวมข้อสอบที่ออกบ่อยๆ รวบรวมโดยอาจารย์ของสถาบัน
#เจาะลึกครอบคุมตรงประเด็น เนื้อหาสาระสำคัญ ข่าวสารทันโลก
#จำหน่ายแนวข้อสอบมานานกว่า 10 ปี การรันตีจากผู้สอบติดมากมาย
#รวมหนังสือหรือไฟล์ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาไปนั่งติว
แนวข้อสอบมี 2 รูปแบบ
1.แบบที่ 1 รอรับได้เลย ราคาเพียง 399 บาท (รอรับ 1-2 ชม หลังโอน)
2.แบบที่ 2 หนังสือ **ฟรี MP3** ราคา 699 บาท (ส่งฟรีขนส่งเอกชน)
ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อแนวข้อสอบ
Line ID : Panisara_test หรือคลิ๊กสั่งซื้อทันที
ชำระค่าสินค้าและบริการ
-ธ.กรุงไทย เลขที่บัญชี 983-0-97701-3
-ธ.กสิกรไทย เลขที่บัญชี 549-2-17930-4
(ชื่อบัญชี ปาณิสรา พระกาย ออมทรัพย์ สาขามหาวิทยาลัยขอนแก่น)